ฉลาดกว่า
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “ฝึกสมาธิและสติให้ทันอารมณ์ตอนลืมตา”
กราบนมัสการหลวงพ่อค่ะ ความเป็นมาของหนู ฝึกสมาธิเกือบทุกวัน นั่งได้ ๑–๒ ชั่วโมง ไม่ค่อยมีนิวรณ์และเวทนาขามารบกวนเท่าไร นั่งได้เต็มที่ ๓ ชั่วโมง เกินจากนี้ต้องพลิกขา
สมาธิ สติอยู่กับพุทโธดีใช้ได้ ถ้าเกิดความคิดอะไรจิตก็รู้ตัวตลอด มันก็จะหยุดคิดพอได้ รู้เท่าทันอารมณ์ความคิดตอนนั่งสมาธิได้พอสมควรค่ะ (แต่หนูรู้กิเลสในใจมันหลบ มันไม่ค่อยโผล่ให้เห็นมาพิจารณาตอนนั่ง เหมือนกับว่ากิเลสมันฉลาดลึกๆ ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาของมัน นั่งไปๆ) มันหลบจนหนูนั่งราบรื่นดีตอนนี้
คำถามนะคะ
๑. หนูอยากฝึกสติให้รู้เท่าทันอารมณ์ตอนลืมตาให้มากขึ้นค่ะ เพราะมันมีอารมณ์คนอื่นร่วมด้วย สติปัญญาหนีหายไปหมดค่ะ รู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบและไม่ได้รับความยุติธรรมเอามากๆ ควรฝึกอย่างไรดีคะหลวงพ่อ เพราะหนูไม่อยากมีปากเสียงทะเลาะกับใครให้เป็นกรรม
๒. การฝึกจิตให้ยอม ยอมแพ้ ยอมรับ เป็นการฝึกระงับกิเลสอีโก้ในใจเราให้น้อยลงใช่ไหมคะ แต่ปกติหนูไม่ค่อยยุ่งกับใครมาก และไม่เคยทะเลาะกับใครนะคะ
๓. หนูชอบนั่งสมาธิมากกว่าเดินจงกรมค่ะ สมาธิ สติตอนเดินจงกรมช่วยให้มีสติทันอารมณ์ตอนลืมตาได้มากกว่านั่งหรือเปล่าคะ
กราบขอบพระคุณหลวงพ่อ
ตอบ : นี่คำถามเนาะ คำถามเริ่มต้นจากการอารัมภบท อารัมภบทถึงการนั่งสมาธิภาวนา ถ้านั่งสมาธิภาวนา ถ้าเรานั่งสมาธิภาวนา การฝึกหัดนั่งสมาธิภาวนามันเริ่มต้น
เริ่มต้นจากคนที่ไม่นับถือพระพุทธศาสนา ชาวตะวันตกเขา ชีวิตของเขามีความทุกข์ความยากของเขา เขาพยายามฝึกหัดสมาธิๆ ไง เพราะว่าอะไร เพราะรัฐสวัสดิการ ถ้าเขาไม่ทำงาน รัฐสวัสดิการเขาเลี้ยงดูอยู่ เจ็บไข้ได้ป่วยเขาก็ดูแลของเขา นี่พูดถึงว่าถ้าชีวิตของเขามันมั่นคงแล้ว ถ้าชีวิตของเขามั่นคงแล้วเขาหาความสุขไม่ได้ เขาหาความสุขไม่ได้ เวลาเขาหาความสุขไม่ได้เขาก็มาฝึกหัดสมาธิกัน
การฝึกหัดสมาธิ เขาไม่ใช่ชาวพุทธนะ เขาเป็นผู้ที่นับถือลัทธิศาสนาอื่น แต่ในชีวิตความเป็นจริงของเขา เขาก็อยากปรารถนาหาความสุข ปรารถนาหาความสุขของเขา สุขในชีวิต สุขในการดำรงชีพ สุขในหน้าที่การงาน เขาก็มีพร้อมหมดแล้วแหละ แต่มันก็ยังหาความสุขตอบสนองใจตัวเองไม่ได้
ถ้าหาความสุขตอบสนองใจตัวเองไม่ได้ ศาสนาของเขาก็ตอบสนองไม่ได้ ศาสนาตอบเรื่องชีวิตจริงของเขาไม่ได้ เขาถึงมาฝึกหัดสมาธิๆ ถ้าเขาทำสมาธิได้ เขามีความสุขของเขา เขามีความสงบของเขา อันนี้มันเป็นวิทยาศาสตร์ มันเป็นข้อเท็จจริง มันเป็นข้อเท็จจริง
คนเวลามันมีความทุกข์ความยากทางโลกแล้วมันแสวงหาความสุขๆ หาความสุขที่อื่นมันหาไม่ได้ ต้องมาหาในใจของตน ถ้าหาในใจของตน เขาก็มาฝึกหัดสมาธิๆ นี่โดยที่ว่าเขาไม่ใช่ชาวพุทธนะ
แต่ของเราเป็นชาวพุทธๆ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนเรื่องประเพณีวัฒนธรรม ให้การฝึกหัดการทำทานของเรา ไปวัดไปวาของเรา ประเพณีวัฒนธรรมต่างๆ นั่นน่ะคือการฝึกหัดๆ เวลาการฝึกหัดๆ ฝึกหัดเพื่ออะไร
ฝึกหัด ดูสิ เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่เป็นจริงๆ ขึ้นมามันเป็นจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันจะเป็นความจริงๆ มันต้องเป็นความจริงในใจของเรา ถ้ามันเป็นความจริงในใจของเรา เราถึงว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ปริยัติ ปฏิบัติ
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ไว้ตอนนิพพาน “อานนท์ เธอบอกเขานะ อย่าบูชาเราด้วยอามิสเลย อย่าบูชาเราด้วยอามิสเลย”
แต่ความจริง ทาน ศีล ภาวนา เรื่องการทำทาน เรื่องวัฒนธรรมมันก็เป็นบูชาโดยวัตถุ บูชาโดยประเพณีวัฒนธรรม
“ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด ปฏิบัติบูชาเราเถิด”
การปฏิบัติบูชา แก่นของศาสนา แก่นของศาสนาไง
แต่แก่นของศาสนา ในต้นไม้ต้นหนึ่งมันก็มีแก่น มีกระพี้ มีเปลือก เวลาแก่นของศาสนาคืออริยสัจ คือเรื่องหัวใจของเรา คือกิเลสฆ่ากิเลส ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์
แต่วิธีการดับทุกข์ มันเข้าไปเผชิญกับความทุกข์ของตนมันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ๆ เรื่องยิ่งใหญ่เราก็เอาแต่เงา เอาแต่พิธีการ เอาแต่วัฒนธรรม นี่เรื่องทำบุญๆๆ ทำบุญแล้วจะได้บุญมากๆ จะให้มีความสุข มันก็ไม่สุขหรอก
นี่เวลามีมากๆ เวลาทำบุญใหม่ๆ มันก็มีความสุขของมันนะ เวลาทำเข้าไป เพราะกิเลสมันปล่อยมือแค่นี้ เวลามันเอาจริงเอาจังมันก็ตามมาบีบคั้นอยู่วันยังค่ำน่ะ
นี่เวลาทาน เวลาศีล เวลาภาวนา
เวลาภาวนายิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่เลย เวลาภาวนามันต้องบังคับตนเอง ต้องให้ตนเองมีสติมีปัญญาขึ้นมา แต่เวลาถ้ามันเป็นความจริง ธรรมโอสถ เวลามันเป็นความจริงขึ้นมา ศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญาขึ้นมานะ มันชนะกิเลส เวลามันชนะกิเลสขึ้นมา สิ่งนั้นมันยิ่งใหญ่ๆ ไง
เวลาประพฤติปฏิบัติ เวลามาภาวนามันทุกข์มากเข้าไปใหญ่อีก ทุกข์มากเข้าไปใหญ่เพราะมันเป็นความเพียร เป็นความวิริยะ ความอุตสาหะ เป็นงานๆ งานการฆ่ากิเลส งานรื้อภพรื้อชาติ มันยิ่งยิ่งใหญ่เข้าไปใหญ่ พอมันยิ่งใหญ่ นี่พระพุทธศาสนานะ
เราจะบอกว่า คนที่ไม่นับถือพระพุทธศาสนา แต่ด้วยความทุกข์บีบคั้น ด้วยสติด้วยปัญญาของเขา เขายังมาฝึกหัดทำสมาธิกันเลย
ไอ้เราชาวพุทธแท้ๆ ชาวพุทธแท้ๆ แต่ชาวพุทธเกิดมาด้วยความบกพร่องไง เกิดมาแล้วด้วยความทุกข์ความจน เกิดมาแล้วไม่สมความปรารถนา เกิดมาแล้วอยากจะยิ่งใหญ่ก่อน อยากจะมีทุกอย่างอุดมสมบูรณ์แล้วค่อยมาปฏิบัติไง เวลาจะปฏิบัติขึ้นมาทุกคนต้องปูพรมแดงให้เดิน ถ้าปูพรมแดงให้เดิน ที่นั่นเป็นที่ปฏิบัติ แล้วเดี๋ยวนี้มันก็มีวัดหลายๆ วัดพยายามปูพรมแดงให้เดิน อำนวยความสะดวกๆ อำนวยความสะดวกก็อำนวยกิเลสไง
แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ ท่านพยายามเอาจริงเอาจังของเราขึ้นมา
นี่พูดถึงว่า คนที่ไม่ใช่ชาวพุทธเลยเขายังแสวงหา แต่ถ้าเราเป็นชาวพุทธๆ เราฝึกหัดของเรา
ใกล้เกลือกินด่าง กบเฝ้ากอบัว มีของดีอยู่กับชาติ แต่ไม่เคยเห็นความดีของศาสนาในชาติของตน เวลาไปแล้วก็เที่ยวไปจับผิด ก็ไปดูคนนู้นผิดอย่างนี้ คนนี้ผิดอย่างนั้น แล้วไอ้ความดีที่เป็นความจริง ความดีของเราที่เราจะทำสัจจะความจริงขึ้นมาเราก็เลยมองข้ามกันไปหมดเลย แล้วสุดท้ายแล้วก็ว่าศาสนาไม่มีอะไรดีเลย กิเลสเท่านั้นยิ่งใหญ่
ฉะนั้น เวลาจะปฏิบัติ เวลาจะปฏิบัติเราก็ปฏิบัติของเรา
นี่พูดถึงว่า เขานั่งฝึกหัดทำสมาธิวันละ ๑–๒ ชั่วโมง นิวรณ์ไม่มี เวทนาที่ขาก็ไม่มี ไม่มีสิ่งใดรบกวนเลย นั่งได้ ๓ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมง พลิกขาเอา นี่ถ้าพลิกขา ถ้าพลิกขาของเรา พลิกเท้ามีสมาธิอยู่กับพุทโธใช้ได้ดี แต่จิตก็รู้อยู่
นี่เวลามันมีความคิดมันเท่าทัน นี่มันเป็นสมบัติของเราทั้งนั้นน่ะ
เวลาคนเจ็บไข้ได้ป่วยเขาไปหาหมอ หมอก็รักษาให้เขาหายจากการเจ็บไข้ได้ป่วย เขาก็กลับมาดำรงชีพของเขา ทำหน้าที่การงานของเขาเพื่อดำรงชีพ
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องธรรมดา เราเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมา เกิดเป็นมนุษย์ พระพุทธศาสนาก็สอนไว้แล้ว ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แล้วเราจะมีสมบัติสิ่งใดเป็นสมบัติของเราบ้าง ถ้าเรามีสมบัติของเราบ้าง เราก็ฝึกหัดของเรา เราปฏิบัติของเรา
เวลาเกิด ใครห้ามมันไม่ได้หรอก
เขาบอกว่า เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันไม่มี
ถ้ามันไม่มี เวลาตายไปแล้วเดี๋ยวมันก็เป็นตามข้อเท็จจริงของมัน เราจะไปห้ามสิ่งใดไม่ได้ พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก มันเป็นสัจจะเป็นความจริงของมัน
ชีวิตของเราก็เหมือนกัน มันก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะตามเวรตามกรรมเหมือนกัน ถ้าตามเวรตามกรรมเหมือนกัน สิ่งที่เราแสวงหาเพื่อความอุดมสมบูรณ์ เพื่อทรัพย์สมบัติของเรา สุดท้ายเราก็ต้องตายไป เวลาตายไปสิ่งที่กระทำมันเป็นบุญหรือบาป
ถ้าเป็นบุญขึ้นมามันก็ทำให้เกิดที่ดีขึ้น เกิดมาแล้วไปเกิดต่อเนื่อง ไปเกิดที่ว่ามันสมบูรณ์พูนสุขขึ้น ไม่ทุกข์ใจจนเกินไป
เวลาหลวงตาท่านมาที่โพธาราม ท่านพูดบ่อย ไอ้พวกเศรษฐีที่ว่ามีเงินทองแล้วไปซื้อลูกเมียเขา ไปเสพกาม เวลาตายไป ที่ว่าลงนรกอเวจีไป ๖๐,๐๐๐ ปีแล้วหลุดขึ้นมา แล้วก็เข็ดหลาบว่าจะไม่ทำอีกแล้วๆ พอมันมาเกิดเป็นมนุษย์เดี๋ยวก็ทำอีกน่ะ เวลามันไปเจอต่อหน้าไง
นี่พูดถึงถ้าใครบุญหรือบาป เวลาเกิดมาแล้วมีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน มันเรื่องที่บุญหรือบาปจะทำให้จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะดีขึ้นหรือเลวลง ถ้าดีขึ้นหรือเลวลง เสวยภพชาติ นี่ผลของวัฏฏะ
แต่ถ้าในชาติปัจจุบันนี้เรามีสติมีปัญญา เราจะฝึกหัดภาวนาของเรา ถ้าเราฝึกหัดภาวนาของเรา หน้าที่การงานก็เป็นเรื่องหน้าที่การงาน หน้าที่การงานต้องมีทั้งนั้นน่ะ เวลามาบวชเป็นพระ เห็นไหม เราอยู่ทางโลก โอ้โฮ! เรื่องงานมันมาก บวชพระดีกว่า บวชพระดีกว่า บวชแล้วคิดว่าเป็นพระแล้วจะปฏิบัติตลอด
ถ้าไปเจอครูบาอาจารย์ที่ดี ทางของสมณะเป็นทางกว้างขวาง ภาวนา ๒๔ ชั่วโมงจริงๆ เวลาไปบวชเป็นพระดีกว่า จะได้ภาวนา เวลาไปบวชเป็นพระแล้วมันก็ต้องบิณฑบาตกับประชาชนนั่นน่ะ มันต้องบิณฑบาต เพราะชีวิตความเป็นมนุษย์น่ะ
เวลาทำหน้าที่การงานทางโลกก็ แหม! มันทุกข์มันยาก คนมันวุ่นวายมาก บวชแล้วจะเข้าป่าไปเลย จะไม่เจอใครเลย
ไม่เจอใครเลยก็ไปกินใบไม้ไง ถ้าอย่างน้อย เวลาหลวงตาเวลาท่านเข้าป่าไปท่านก็ไปเลือกบ้านน้อยๆ สามหลังสี่หลัง
มันเจอคนวันยังค่ำน่ะ มันเจอคนวันยังค่ำ แต่มันเจอคนละสถานะไง
เราทำหน้าที่การงานของเรา เราก็ต้องเจอกับมนุษย์เป็นเรื่องธรรมดา ที่ไหนมีชุมชน ที่ไหนมีตลาด สินค้าเขาต้องแสวงหาที่ตลาด ถ้าสินค้าไม่แสวงหาที่ตลาด มันจะเกิดเป็นการตลาดขึ้นมาได้อย่างไร การตลาดเป็นผู้กำหนด กำหนดความสำเร็จของเรา
ทีนี้ถ้ามาบวชเป็นพระแล้ว มาบวชเป็นพระแล้วมันก็เจอคนเหมือนกัน เจอคนเหมือนกันแต่มันเจอคนละสถานะ เราเจอ ถ้าเขาเป็นชาวพุทธ เขาก็ทุกข์เขาก็ยากของเขา เขาก็อยากทำบุญตักบาตรของเขา เวลาที่ไหนไม่มีพระนะ เขาอยากทำสิ่งใดเขาก็ไม่ได้ทำ ยิ่งวันนักขัตฤกษ์เขาแสวงหาพระ เกณฑ์พระกันใหญ่เลย พระมีหรือไม่มีก็ต้องให้ได้ครบองค์ของเขา
นี่เหมือนกัน เวลาบ้านนอกคอกนาที่ไหน ถ้าเราบวชแล้วเราแสวงหาของเรา เราบิณฑบาตของเราก็ต้องเจอมนุษย์เหมือนกัน แต่เจอคนละสถานะ เจอคนละสถานะว่าเราบวชเป็นพระ
เราบวชเป็นพระขึ้นมาแล้ว อู้ฮู! มีความสุขมาก บวชเป็นพระแล้วเป็นพระอรหันต์
สุขจริงหรือเปล่า ข้าวยังไม่มีจะกินเลย
นี่บวชมันบวชตามประเพณีวัฒนธรรม เขาเรียกว่าสมมุติสงฆ์ บวชร่างกาย
เวลาหลวงตาท่านสอน โกนหัว โกนคิ้ว โกนผมจนถึงหนังศีรษะ มันก็เรื่องโลกทั้งนั้นน่ะ มันไม่ได้โกนกิเลส มันไม่ได้กำจัดกิเลสเลยแม้แต่นิดเดียว เวลาบวชเป็นพระขึ้นมาแล้ว บวชมา บวชมาเพื่อประพฤติปฏิบัติไง
นี่ก็เหมือนกัน เวลาอยู่ทางโลกมันวุ่นมันวายขึ้นไป เรามาบวชเป็นพระดีกว่า พอบวชเป็นพระดีกว่า เข้ามา กิเลสมันได้บวชด้วยหรือเปล่าล่ะ มันไม่ได้บวชมันก็บีบหัวใจอยู่นั่นน่ะ
ถ้าบีบหัวใจแล้ว เวลามาบวชเป็นพระแล้วก็ต้องมาประพฤติปฏิบัติแบบผู้ถามนี่ ฝึกสมาธิขึ้นมา เวลามีสติขึ้นมาแล้วให้เท่าทันอารมณ์ตอนลืมตา เวลาเท่าทันอารมณ์ตอนลืมตา
มันอยู่ที่การฝึกหัด มันอยู่ที่การฝึกหัดไง นี่ไง เวลาทางโลกเขาติเตียน “ไม่จริงนี่หว่า ถ้าจริงก็ต้องทำสมาธิในชุมชน ถ้าในชุมชนทำสมาธิได้ก็ต้องทำสมาธิได้”
เวลาคนฝึกหัดนะ เขาต้องไปฝึกหัดในที่สถานที่พร้อมของเขา นี่ก็เหมือนกัน ไอ้เราอยู่กับโลกมาเราก็ลืมหูลืมตารับรู้มาเต็มที่แล้ว มันก็มีแต่ความตึงเครียดทั้งนั้นน่ะ
หลับตาซะ ไม่ให้เป็นภาพสิ่งใดทั้งสิ้น แล้วหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้าจิตมันสงบระงับแล้ว ฝึกหัดจนมันเข้มแข็งแล้ว มันจะมาลืมตาอยู่กับโลกมันก็เบาบางลง ความทุกข์ความยากมันเท่าทันไง ถ้ายังไม่เท่าทันก็ต้องฝึกหัดๆ ฝึกหัดของเราไป
แต่ถ้าไม่ได้ฝึกหัดนะ ขาดสตินะ มันไม่ได้คิดอย่างนี้หรอก ถ้าขาดสตินะ มันประชดสังคม การที่ประชดสังคมมันไปโทษคนอื่นหมดเลยว่าทำให้เราเสียหาย ทำให้เราทุกข์เรายาก เราโทษสังคม โทษพ่อ โทษแม่ โทษทุกคนหมดเลย ว่าเราดีหมด แล้วยิ่งโทษมากเท่าไรมันยิ่งกดดันตัวเอง กดดันกันไป
ถ้าคนมีสติปัญญาเขาก็จะเอาลูกเขา เอาคนที่โดนกดดันไปส่งหมอซะ ไปหาจิตแพทย์ให้ระบาย ๓๐ เปอร์เซ็นต์ของประชากรไทยเป็นโรคซึมเศร้า โรคซึมเศร้ามันเป็นต่อเนื่องไปๆ มันกดดันตัวเองทั้งสิ้น
แต่ถ้ามันเป็นธรรมๆ ได้นะ เรายอมรับความจริงได้ ถ้ายอมรับความจริงได้ ส่งไปหาหมอให้หมอบำบัด หมอบำบัดแล้วสิ่งนั้นให้มันเบาบางลง แล้วถ้ามาฝึกหัดภาวนา ไม่ต้องวิปัสสนา ไม่ต้องคิดอะไรมาก ให้พุทโธๆ อย่างเดียวพอ ทำให้จิตมันสงบให้มันมีกำลังขึ้นมาพอ
เพราะพอคือกลับมาเป็นปกติ กลับมาที่ควบคุมตัวเองได้ กลับมาที่มีสามัญสำนึกเข้าใจตัวเองได้ ถ้ามีสามัญสำนึกเข้าใจตัวเองได้จะไม่โทษคนอื่น จะไม่โทษสังคม จะไม่โทษใครทั้งสิ้น
เพราะเราเกิดมาในสังคม เราต้องมีเวรมีกรรมมันถึงเจอสภาพแบบนั้น ถ้ามันเจอสภาพแบบนั้น ถ้ามีสติปัญญา เราก็จะเอาตัวเรารอดในสังคมสภาพแบบนั้นได้ ถ้าเราไม่มีสติปัญญา ถ้าเจอสภาพแบบนั้นมันยิ่งประชดตัวเองนะ จิตใจมันยิ่งกดดันตัวเองมันยิ่งบกพร่องไปเรื่อย
นี่พูดถึงว่า ถ้าสมาธิลืมตา เขาว่าเขาจะให้มีสติ มีสมาธิเท่าทันตอนลืมตา ลืมตาคือในชีวิตปกติ
ในชีวิตปกติขึ้นมามันอยู่ที่การฝึกหัดสติปัญญาของเรา ถ้ามันฝึกหัดสติปัญญา ถ้าสติมันเท่าทันนะ นี่มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม แล้วเวลามนุษย์มีพลังงานเหลือใช้ วัยรุ่ยเขาต้องให้เล่นกีฬาๆ ถ้ามันไม่เล่นกีฬา พลังงานมันเหลือใช้มาก
ทำงานก็ว่าเหน็ดว่าเหนื่อย ดูวัยรุ่นมันทำงานสิ เข้มแข็งแข็งแรงมาก มันแบกหามทุกๆ อย่างได้ทั้งสิ้นเลย แล้วมันกำลังยังเหลือ พลังงานยังเหลือเลย
ถ้าพลังงานเหลือก็เล่นกีฬาซะ ให้เล่นกีฬาให้ผ่อนคลาย ให้ผ่อนคลายแล้วให้มีสติปัญญา ถ้ามีสติปัญญา อยู่กับสังคมทัดเทียมกัน
ทีนี้มันเป็นกรรมของสัตว์ กรรมของสัตว์นะ กรรมของสัตว์ หมายความว่า จิตมันกดดันตัวมันเอง มันคิดของมันเอง ดูสิ มองหน้าเขายังไม่รู้อะไรเลย ไปมีเรื่องกับเขาแล้ว
นี่พูดถึงว่า ถ้ามันเท่าทันตอนลืมตา
ถ้าเท่าทันตอนลืมตานะ มันทำของมันได้
นี่พูดถึงเขาบอกว่าเขานั่งสมาธิแล้ว แล้วเวลานั่งสมาธิแล้วมันมีสมาธิดีพอสมควร แต่วงเล็บ “หนูรู้ว่ากิเลสในใจมันหลบ มันไม่ค่อยโผล่มาให้พิจารณาตอนนั่ง เหมือนกับว่ากิเลสมันฉลาดลึกๆ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาของมัน เราก็นั่งของเราไป”
ไม่ใช่เวลาของมัน ไม่ใช่เวลาของมันเพราะเรามีสติ มีสมาธิเท่าทัน กิเลสมันก็หลบ เป็นเรื่องธรรมดา นี่เป็นเรื่องธรรมดา
ฉะนั้น เวลาคนที่ภาวนาๆ เราถึงไม่เชื่อ ไม่เชื่อว่าเขาได้สมาธิกัน คำว่า “ทำสมาธิๆ” มันไม่เป็นสมาธิหรอก มันเป็นแค่ความสบายใจ ที่ทำๆ กันอยู่มันสบายใจๆ สบายว่างๆ ว่างๆ มีความสบายใจ ไม่เป็นสมาธิ
ถ้าเป็นสมาธิมันจะเหมือนวงเล็บที่เขาถามนี้ “แต่หนูรู้ว่ากิเลสมันหลบ มันไม่โผล่มาให้เห็น เหมือนกับว่ากิเลสมันฉลาดลึกๆ”
กิเลสมันฉลาดกว่าเราเยอะ แม้แต่การนั่งสมาธิภาวนา เราจะมานั่งสมาธิภาวนามันก็อยู่ที่บุญและบาปแล้ว ถ้ามันมีบุญนะ เราพอใจที่จะไปวัด เราพอใจที่จะฝึกหัด เราพอใจๆ นะ เราพอใจเพราะอะไร เพราะทรัพย์สมบัติเราหาทั้งนั้นน่ะ
ดูสิ เขาไม่นับถือพระพุทธศาสนาเลยในชาวตะวันตกน่ะ แต่ในชีวิตของเขา เขาทุกข์เขายาก เขาหาความจริงเขายังมาฝึกสมาธิเลย นี่มันเป็นอริยสัจ เป็นสัจจะเป็นความจริง
ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ มันเป็นข้อเท็จจริง มึงจะเชื่อไม่เชื่อ มึงจะถือลัทธิศาสนาใดก็แล้วแต่ ข้อเท็จจริงมันเป็นแบบนี้ นี่มันเป็นหลักวิทยาศาสตร์เลย เพียงแต่มาให้ชื่อว่าพระพุทธศาสนา
ลัทธิศาสนาอื่น แต่ข้อเท็จจริงในพระพุทธศาสนา เรื่องความเป็นจริง เขาไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนาเขายังมาฝึกหัดทำสมาธิๆ การฝึกหัดทำสมาธิคือมันก็เข้าสู่อริยสัจไง ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์
เวลาเขาทำสมาธิได้นั่นน่ะคือทุกข์มันเบาบางลง มันไม่ถึงกับดับทุกข์ แต่มันผ่อนคลาย พอมันผ่อนคลายขึ้นมาเขาก็ยิ่งแสวงหาให้มากขึ้น
แล้วถ้ามันเป็นสมาธิหรือมันมีสติ มีสติปัญญามันคิดได้อย่างนี้ไง “หนูรู้ว่ากิเลสในใจมันหลบ มันไม่ค่อยโผล่ให้เห็นเวลาตอนนั่ง เหมือนว่ากิเลสมันฉลาดลึก”
ไอ้เรามันโง่ตื้น โง่ตื้นๆ โง่ผิวเผิน ไม่ทันกิเลสหรอก แล้วไม่ทันกิเลสแล้วมันก็เข้าข้างตัวเองนะ แหม! พอนั่งไปสงบเป็นโสดาบัน สงบอีกรอบหนึ่งเป็นสกิทาคามี สงบอีกรอบเป็นอนาคามี สงบอีกทีหนึ่งมันเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ด้วยอะไร ด้วยการบวกคะแนนให้ตัวเอง ไม่มีอะไรเลย แล้วไม่มีเหตุไม่มีผล
แต่ถ้ามันเป็นความจริง เราเป็นความจริง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อุทกดาบส อาฬารดาบสรับประกัน ท่านก็ไม่เอา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปฝึกกับเจ้าลัทธิต่างๆ จนหมดกระบวนการของเขาแล้วก็บอกว่าไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่
นี่ไง ถ้ามันเป็นความจริง สติ สมาธิสมบูรณ์มันคิดได้อย่างนี้ไง ถ้าคนฝึกหัดภาวนามันต้องคิดแบบนี้
“หนูรู้ว่ากิเลสมันหลบ”
มันไม่โผล่ให้เห็นหรอกตอนที่เรามีกำลัง
“เหมือนกับมันฉลาดลึกๆ”
ความจริงกิเลสมันก็คือเรานั่นแหละ กิเลสมันอยู่ในหัวใจเรานั่นแหละ แต่เราไม่เท่าทันมันเอง เวลามันคิดที่มันพอใจก็ว่าสิ่งนี้เป็นธรรม แต่เวลามันก็ว่าเป็นกิเลส กิเลสมันฉลาดลึก เราเลยไม่ทัน กิเลสมันฉลาดกว่าเรา ฉลาดกว่าเยอะเลย
ถ้ากิเลสมันไม่ฉลาดกว่าเรา มันหลอกเราไม่ได้มาจนป่านนี้หรอก กิเลสมันหลอกเรามาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ อู๋ย! นู่นก็ดี นี่ก็ดี สูงส่งยอดเยี่ยมทั้งนั้นน่ะ ยังเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะอยู่นี่ไง ยังต้องมาอยู่ในอำนาจมันให้มันบังคับบัญชาอยู่นี่ไง
นี่พูดถึงว่าอารัมภบทว่ากิเลสมันฉลาดลึก ฉลาดมากกว่าเราเยอะ ถ้ามันไม่ฉลาดมากกว่าเรามันควบคุมสัตว์โลกไม่ได้ กิเลสไม่ฉลาดกว่าเรามันควบคุมชีวิตเราไม่ได้ เราต่างหากต้อยๆๆ เดินตามให้กิเลสมันบงการ ให้กิเลสมันบังคับบัญชา
แต่เวลาพระมาบวช บวชพระขึ้นมาแล้ว ข้อวัตรปฏิบัติ นั่นน่ะฝืนมัน
จากที่ว่ากิเลสมันบงการ เรามีข้อวัตรเป็นเครื่องอยู่ มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ คำว่า “เครื่องอยู่” เครื่องอยู่ของใจ ให้หัวใจไม่ไปอยู่ให้กิเลสมันบงการ อยู่กับข้อวัตรปฏิบัติ อยู่กับการกระทำ อยู่กับการฝึกหัด อยู่กับการปฏิบัติให้มันเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมามันก็จะเป็นการปฏิบัติเพื่อบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่เวลาปฏิบัติแล้วตั้งเป้าหมายไว้ อธิษฐานบารมีแล้วต้องเป็นอย่างนั้นๆ...ทุกข์ยาก กดดันตัวเองมาก
ปฏิบัติแบบนี้ มีเวลานั่งสมาธิ หลวงปู่ฝั้นท่านบอกเลย ไม่หายใจทิ้งเปล่าๆ หายใจมีสติปัญญาตลอดไป แล้วจิตใจมันจะเข้มแข็งขึ้นมา
พอจิตใจมันเข้มแข็งขึ้นมานะ มีสติปัญญาขึ้นมา มันพิจารณาไปมันเป็นข้อเท็จจริงไง
กิเลสมันฉลาดลึกๆ ไม่เห็นมันหรอก
จิตสงบแล้วจิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง นั้นนั่นแหละเห็น เห็นว่ากิเลสมันเดือดร้อนเลยแหละ เพราะว่ากิเลสมันโผล่มาให้เราเห็นได้ กิเลสมันโผล่มาให้เราจับได้ กิเลสมันเดือดร้อน กิเลสมันเดือดร้อน
ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอกเลย ไม่รู้จักกิเลส แก้กิเลสไม่ได้ คนไม่เคยเห็นกาย เวทนา จิต ธรรมตามความเป็นจริง ตามความเป็นจริงคือนั่นน่ะร่องรอยของกิเลส นั่นน่ะคือเครื่องมือของกิเลสที่มันออกหากิน ถ้าจับได้นี่กิเลสเดือดร้อน เหมือนขโมยลักของแล้วเจ้าของจับได้
ไอ้นี่เราไม่เคยจับได้เลย เราไม่เคยเห็นกิเลสที่มันขโมยวันเวลาชีวิตความเป็นจริงเราไปตลอดมาตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันนี้ เรายังไม่เห็นหน้ามันเลย เราไม่เห็นกิเลส แก้กิเลสไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้
แต่ทางโลกเขาด้วยมารยาท อะไรก็ได้ ตามสบาย ตามสบายเถอะ ด้วยมารยาท เพราะพูดไปแล้วนะ คนไม่เคยเห็นมันก็ไม่รู้จักหรอก ไม่รู้จัก ฉะนั้น ไม่เคยเห็นกิเลส แก้กิเลสไม่ได้
เข้าคำถาม “๑. หนูอยากฝึกสติให้รู้เท่าทันอารมณ์ตอนที่ลืมตาให้มากขึ้นค่ะ เพราะมันมีอารมณ์คนอื่นร่วมด้วย สติปัญญาหนีหายไปหมดค่ะ ถ้ารู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบและไม่ได้รับความยุติธรรมเอามากๆ ควรฝึกอย่างไรคะหลวงพ่อ เพราะหนูไม่อยากมีปากเสียงทะเลาะกับใครให้เป็นกรรมค่ะ”
เราไม่อยากทะเลาะเบาะแว้งกับใครทั้งสิ้น แต่เราเป็นปัญญาชนนะ เราเป็นปัญญาชน
หลวงตาท่านสอนว่า “เหตุและผลคือธรรม”
คำว่า “เหตุและผลคือธรรม” เราไม่ได้รับความยุติธรรมอย่างมากๆ ถ้าเราไม่ได้รับความยุติธรรมอย่างมากๆ มันก็ต้องคุยกันด้วยเหตุด้วยผล
คนเราปัญญาชนทำงานด้วยกัน แม้แต่เป็นเจ้านาย เป็นลูกน้อง หรือเป็นเพื่อนร่วมงานกันก็แล้วแต่ เราคุยกันด้วยเหตุด้วยผล ถ้าเราคุยกันด้วยเหตุด้วยผล สิ่งที่ว่าเราไม่ได้รับความยุติธรรมๆ มันไม่ได้รับความยุติธรรมด้วยเรื่องอะไร ถ้ามันไม่ได้รับความยุติธรรม แต่ความจริงเราเข้าใจเอง ถ้าเราเข้าใจเองว่าเราไม่ได้รับความยุติธรรมเพราะเราไม่เสมอเขา
คำว่า “เสมอเขา” ผู้ที่ฝึกหัดงานใหม่เขาก็จะต้องให้ฝึกหัดงานรอบรู้ไปทุกๆ ด้าน ถ้ารอบรู้ทุกๆ ด้าน นี่การฝึกหัดงานมันเป็นเรื่องหนึ่ง แล้วการที่ได้รับความรับผิดชอบนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง การที่เราฝึกหัดงาน เราทำงานจนเรามีความชำนาญแล้ว เราเป็นหัวหน้างาน นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ความยุติธรรมๆ เรื่องงานก็เรื่องหนึ่งนะ แต่ถ้าเรื่องการเอารัดเอาเปรียบทางสังคมนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องที่การเอารัดเอาเปรียบสังคม แม้แต่ฝึกงานเป็นแล้ว ทุกอย่างเป็นแล้ว แต่เขาต้องการให้เรารับผิดชอบให้มากขึ้น เขาต้องการเอารัดเอาเปรียบ อันนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง คุยกันด้วยเหตุด้วยผลไง
เพราะเราจะเอาตามความเข้าใจของเรามันไม่ได้ ความเข้าใจของเรา
๑. เราไม่ได้เป็นผู้รับผิดชอบ
๒. เราไม่ใช่เจ้าของงาน
๓. เราเป็นเพื่อนร่วมงาน
สิ่งต่างๆ มันคุยด้วยเหตุด้วยผล
นี้เราจะบอกว่า การที่ว่าเราไม่ได้รับความยุติธรรม เราคุยกันด้วยเหตุด้วยผลก่อน ถ้าคุยกันด้วยเหตุด้วยผลแล้วเขาไม่ฟัง อันนี้เอาธรรมะเข้ามาแก้ไขแล้ว
เอาธรรมะเข้ามาแก้ไขว่า คนพาล คนพาลเขาทำความชั่วได้ง่าย ทำความดีได้ยาก คนดีทำความดีได้ง่าย ทำความชั่วได้ยาก
ถ้าด้วยเหตุด้วยผลแล้ว เหตุผลมันมีอยู่แล้ว แต่เขาเป็นคนพาลเขาก็จะเอาผลประโยชน์ของเขา เขาจะเอารัดเอาเปรียบของเขา นั้นเป็นเรื่องของคนพาล คนพาลมันฟังเหตุผลไม่ได้ ถ้าฟังเหตุผลไม่ได้ เราอยู่กับคนพาล อยู่กับสังคมอย่างนั้น เราก็ต้องตั้งสติปัญญาของเรา เอาธรรมโอสมถาเพื่อรักษาใจของเราแล้ว
ถ้าใจของเรานะ เราจะต้องทำหน้าที่การงานอยู่ในสังคมอย่างนี้ เราก็อดทนของเรา เราก็แก้ไขของเรา หน้าที่การงานก็ทำแล้วกองไว้นั่น รักษาหัวใจของเรา แต่ถ้าเราสามารถแก้ไขได้ เราก็แก้ไขของเราไป นี่พูดถึงว่าถ้าในสังคมมันมีคนพาล
แล้วถ้าเขาเป็นคนดี คนดีเขาดีกับเราอยู่แล้ว ถ้าเป็นคนดีทำดีได้ง่าย ทำชั่วได้ยาก
ถ้าเราทำคุณงามความดี เขาจะเห็นคุณงามความดีของเรา แต่เราก็ไม่เหิมเกริมนะ ความดีเป็นความดี ความดีทำแล้วก็คือความดี สติปัญญาของเราอยู่นั่น อย่าเหิม อย่าเกริม อย่าหลง อย่าคิดว่าเราดีกว่าเขา เรายอดเยี่ยมกว่าเขา แล้วคนอื่นจะเลวทรามไปหมด
ความดีก็คือความดี ความดีจบแล้ว ความดีก็จบแล้ว เราก็ยังเป็นเราเหมือนเดิม เป็นเราเหมือนเดิมคือเรามีธรรมโอสถไง เรามีสติปัญญาของเราไง
นี่พูดถึงความยุติธรรม ถ้าความยุติธรรม เพราะเราเรียกร้องความยุติธรรม แล้วเราก็จะอ่านว่าสังคมนี้มันต้องเป็นยุติธรรมอย่างนี้ๆๆ
ความเป็นธรรมในสังคมมันไม่ใช่อย่างนี้ๆๆ ทุกๆ กรณีไป เพราะมันอยู่ที่คนดี คนเลว อยู่ที่สังคมดี สังคมเลว อยู่ที่ความเห็นชอบของเรา
ทีนี้เราอยู่ในสังคมๆ ไง นี่ไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราศึกษาพระไตรปิฎกมา แล้วเราเที่ยวมา ไปที่สังคมอย่างอื่น อย่างพระสารีบุตรไป วัชชีบุตรที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้แก้ไขไง พระสารีบุตรบอก อู้ฮู! ไม่ไหวหรอก คนชั่วทั้งนั้นเลย
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เธอเอาพระมากไป แล้วไปลงพรหมทัณฑ์ให้เขาไม่อยู่ที่นั่น ตีให้เขาแตกออกไป
ถ้าสังคมคนชั่วมันไปรวมกัน เราเป็นคนดีคนเดียวเราจะทำอย่างไร แล้วถ้าเป็นคนดีคนเดียวเราทำอะไรไม่ได้นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ แล้วเราทำมาแล้ว เราธุดงค์มาเราผ่านเรื่องนี้มาหมดแล้ว
เวลาจะลงอุโบสถกันน่ะ เขาทำผิด คือเขาเก็บพวกที่อยู่ปริวาสให้มาเป็นผู้ที่สวด มันเป็นไปไม่ได้ การเก็บ เก็บคือปกติห้ามเข้าสามีจิกรรมเข้าสวด เขาเอาเข้ามาสวดเลย แล้วเขาทำแบบนี้
เราพูดแล้วด้วยเหตุผล เขายอมรับ แต่เขาก็จะทำอย่างนี้เพราะเขาเคยทำอย่างนี้มาตลอด เราก็เลยค้านไว้ในหัวใจ
ในพระไตรปิฎกสอนไว้ว่า ถ้าเราเห็นว่าสิ่งนั้นมันไม่เป็นธรรม แล้วเราไม่อยากมีกรรมร่วมกับเขา คือเราไม่เห็นด้วยแต่เราพูดออกไปไม่ได้ พูดออกไปแล้วมันจะเกิดผลกระทบที่รุนแรง เราค้านไว้ในหัวใจ คือเป็นสิทธิ์ของเราไง
ลงอุโบสถถ้าผิด มันเป็นโมฆียะ ถ้าผู้ที่นานาสังวาส ศีลไม่เสมอกัน มันเป็นโมฆะ ความเป็นโมฆะคือการกระทำแล้วเหมือนไม่ได้กระทำ
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เวลาถ้าเขาทำผิดกัน เขาทำด้วยความชั่วหยาบของเขา เราก็ต้องมีเวรมีกรรมไปกับเขาใช่ไหม มันเป็นสภาคกรรม กรรมร่วมไง เราก็เลยค้านไว้ในใจ ไม่รู้ไม่เห็นไม่สน แต่ก็ลงอุโบสถกับเขานะ เพราะอะไร
เพราะเราศึกษามาจากพระไตรปิฎก เราศึกษามาจากธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เราค้านของเราแต่ก็ร่วมอุโบสถกับเขา เพราะมันอยู่ในวัดเดียวกัน ไม่ร่วมอุโบสถไม่ได้ สงฆ์เป็นวรรค คือเราไม่ให้ความร่วมมือ ลงอุโบสถไม่ได้ มันเป็นอาบัติปาจิตตีย์ไปหมดเลย ถ้าอยู่ในวัดแล้วต้องลงเป็นฉันทามติ ฉันทามติคือทำร่วมกัน แต่ถ้ามีเวรมีกรรมร่วมกันเราไม่เอา เราค้านไว้ นี่เราทำมาแล้ว
นี่ไง พูดถึงว่า เราไม่ได้รับความยุติธรรมจากสังคม
มันเยอะ มันเยอะ มันเยอะ แม้แต่คนดีด้วยกันนะ แต่วุฒิภาวะสูงต่ำต่างกัน ความเห็นต่างกัน มันยังความดีต่างกันเลย
แล้วนี่เป็นเรื่องที่ว่าทางการเมืองเขาพูดบ่อยมาก คนดี–คนดีทะเลาะกัน คนดีกับคนดีทะเลาะกันนี่เรื่องใหญ่นะ เพราะคนดีกับคนดี ต่างคนต่างว่าดีไง แล้วดีของใครล่ะ
คนดี–คนดีทะเลาะกัน เพราะดีทั้งสองฝ่าย แล้วดีทั้งนั้น คนดีมันต้องมีคนเห็นด้วย แล้วถ้าคนเห็นด้วยมันราบแน่นอน มันต้องทำลายกันไปตลอด
ฉะนั้น ในเรื่องธรรมะนะ ท่านถึงบอกว่า “เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร”
มันเรื่องของเขา เขาดี ให้เขาดี ถ้าเขาดีเขาต้องทำความดีได้ เราดีของเรา เราก็ทำความดีของเรา ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา ทำไมต้องทะเลาะกัน คนดี–คนดีทะเลาะกัน ไม่ต้องไปทะเลาะกับเขา
นี่พูดถึงว่า ถ้าไม่ได้รับความยุติธรรมนะ
เราจะบอกว่า ความยุติธรรม ถ้ามันเป็นจิตของเรานะ ยุติโดยธรรม ยุติที่ปัญญาของเรา เรายุติของเราที่นี่ แต่เราต้องอยู่กับสังคม เราต้องมีงานทำ เราต้องหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง นี่โลกมันอยู่ยากอย่างนี้ไง
โลกมันอยู่ยากเพราะเราต้องอยู่กับคนอย่างว่า คนดีหรือคนชั่ว คนเห็นแก่ตัวหรือคนมักมากอยากใหญ่ คนที่ทำลายคนอื่นทั้งสิ้น เห็นคนอื่นเป็นสินค้า เห็นคนอื่นเป็นฝุ่นให้เราเหยียบย่ำทำลาย เห็นคนอย่างนั้นหรือ
แต่ถ้าคนดีนะ สิทธิความเป็นมนุษย์ มนุษย์ทุกคนเขาเห็นคุณค่าทั้งสิ้น ทุกคนมีสิทธิ เขามีชีวิต เขารักสุขเกลียดทุกข์เหมือนเรา
ถ้าคนดีนะ คนดีๆ นะ บางทีเราเห็นหลายๆ คนมาก ลูกน้องที่เป็นคนดี เขาจะไปแสดงโอบอ้อมอารีลูกน้องเขาต่อหน้าคนอื่นไม่ได้ เพราะคนพาลเดี๋ยวมันทำลายลูกน้องเราอีก
คนนี้ดีมากๆ เลย แล้วเขาก็จะไปคุยกันส่วนตัว เรียกไปคุยกัน เฮ้ย! เอ็งทำอย่างนี้นะ สุดยอดเลย แล้วไม่ต้องไปยุ่งกับใคร รักษาคนดีไว้น่ะยาก คนดีคนหนึ่งที่เราจะรักษาไว้เป็นคนของเรา เพราะคนอื่นเขาตามจองล้างจองผลาญ การรักษาคนไง
นี่พูดถึงว่า ได้รับความยุติธรรมๆ
ได้รับความยุติธรรม เราจะบอกว่า ความยุติธรรม เรื่องเหตุเรื่องผล เราคุยกันด้วยเหตุด้วยผลด้วยปัญญาชนนั่นเรื่องหนึ่ง
ด้วยจริตนิสัยคนที่เขาเห็นแก่ตัว คนที่เป็นคนพาล เราไปคุยด้วยเหตุผล ยิ่งคุยเหตุผลเขายิ่งไม่ชอบขี้หน้าเรา แต่ถ้าเป็นคนดี เหตุผลเขาก็ชอบ แต่คนดีมันก็ดีขณะนั้นนะ ดีก็คือดี ทำดีจบแล้วก็คือจบ คืออย่าไปผูกพันผูกมัดกับใคร เราทำความดีเพื่อความดีของเรา
นี่พูดถึงว่า เขาไม่อยากทะเลาะเบาะแว้งกับใคร ไม่อยากมีปากเสียงกับใคร เรารักษาชีวิตของเราไปข้างหน้า
นี่พูดถึงย้อนกลับมา คำนี้พูดยาก พูดแล้วคนทำได้ยาก
‘แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร’
แพ้เป็นพระๆ ความพ่ายแพ้นั้นยิ่งใหญ่นะ
เราดูหลวงตาเวลาท่านไปฟังครูบาอาจารย์ท่านเทศน์ เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศน์ผิดๆ ถูกๆ นั่นน่ะ ท่านเงียบ แพ้เป็นพระ ไม่พูดหรอก เวลากลับไปแล้ว กลับเข้าไปในห้องของอาจารย์ “ทำไมเทศน์อย่างนั้นน่ะ มันผิดนะ”
“มันผิดอย่างไรล่ะ”
“อ้าว! ก็มันผิด มันไม่ใช่สัจธรรมไง”
“อ้าว! ก็เราไม่รู้”
นี่ท่านไม่หักหน้าไม่ฉีกหน้าใคร แล้วไม่ทำลายใครทั้งสิ้น นี่เวลาต่อหน้าสังคมไง
แพ้เป็นพระ เรารู้หมดว่าเขาผิดเขาถูกอย่างไร เราไม่ยุ่งกับเขาหรอก ถ้าจะพูดก็พูดกันส่วนตัวภายในไม่ให้เขาเสียหน้า ไม่ให้เขาเสียเกียรติของเขา ถ้าจะแก้ไขกันนะ เว้นไว้แต่เวลากระแสสังคม เวลากระแสสังคมผิดถูกด้วยเหตุผลนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
นี่พูดถึงว่า ‘แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร’
แพ้เป็นพระ เราแพ้เพราะเรามีสติมีปัญญา เราเท่าทันทั้งหมด นี่ประเสริฐ เป็นพระ แต่โลกไม่รู้กับเรานะ แล้วพระหายาก พระที่พระขี้แพ้ที่เก็บธรรมะไว้ในใจหายาก เพราะเราไม่รู้จักหรอก ไอ้พวกโฆษณาชวนเชื่อบ้าบอคอแตกนั่นน่ะกิเลสทั้งนั้น กิเลสทั้งนั้น
นี่พูดถึงว่า ‘แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร’ ข้อที่ ๑.
๒. การฝึกจิตให้ยอม ยอมแพ้ ยอมรับ เป็นการฝึกระงับกิเลสอีโก้ในใจเราให้น้อยลงใช่หรือไม่ แต่ปกติหนูไม่ค่อยยุ่งกับใครมากค่ะ และไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกับใครค่ะ
ชีวิตนี้มันได้มาด้วยบุญกุศลนะ ได้มาด้วยแสนยาก แล้วคนเรายังไม่เจ็บไข้ได้ป่วย เวลาคนเราเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา วันเวลามีค่ามากนะ ยิ่งคนใกล้เวลาจะสิ้นชีวิต โอ้โฮ! มันอาลัยอาวรณ์ทั้งสิ้น
นี่เหมือนกัน สิ่งที่ว่าเราเกิดมาแล้วชีวิตของเรามันมีค่า ถ้ามีค่าขึ้นมา เรามีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน เราจะฝึกหัดของเรา
ฉะนั้นจะบอกว่า การฝึกให้ยอม
คำว่า “ยอม” มันไม่ใช่ยอมว่าเราไปยอมแพ้เขาเพราะเราเห็นแก่หน้า เรายอมแพ้เขา...ไม่ใช่ เราไม่ใช่ยอม เราแพ้เป็นพระ เรายอมรับความจริง ไอ้อย่างนั้นน่ะเพราะอะไร
เพราะว่าสิ่งที่เขาแสดงออกด้วยทิฏฐิมานะ ด้วยความอหังการนั่นน่ะโง่เง่าเต่าตุ่นทั้งนั้นน่ะ ความโง่เง่าเต่าตุ่นนั้นมันเป็นประโยชน์ตรงไหน
คนฉลาดนะ เขาฟัง เขาฟังแล้วเขาคิดของเขา แล้วถ้ารู้ เขาอ้าปากพูดเราก็รู้ว่าเขาผิดอยู่แล้ว แต่เราชนะ นี่แพ้เป็นพระไง
เราจะเอาความดีงาม เอาทองคำไปแลกกับตะกั่ว เอาทองคำไปแลกกับขี้อย่างนี้ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง แล้วบอกว่าเราทำใจเราให้ยอม
มันจะยอมอะไร มันเหตุผลต่างหาก เหตุผลของเรานะ เขาโง่เง่าเต่าตุ่นแต่เขาเป็นเจ้านาย เขาโง่เง่าเต่าตุ่น เขาเป็นเจ้าหน้าที่ เขาโง่เง่าเต่าตุ่น เขาเป็นผู้ถือกฎหมาย เขาโง่เง่าเต่าตุ่น เขาจะหาผลประโยชน์ของเขา แล้วเราไปยุ่งอะไรกับเขา ไอ้นี่เรียกว่ายอมไหม เรามีสติปัญญาต่างหาก
สิ่งที่ว่า การฝึกจิตให้ยอม ยอมแพ้ ยอมรับ เป็นการฝึกไหม
เราด้วยเหตุด้วยผลต่างหาก ถ้าด้วยเหตุด้วยผลแล้วจิตใจมันไม่เครียด จิตใจมันไม่อึดอัด
เวลาเขาพูด เขาพูดว่าเขาถูกหมด เราฟังแล้วยิ้มๆ เราเองต่างหาก แหม! มันมีความภูมิใจในหัวใจนะ เขาต่างหาก เขาต่างหาก เพราะเขาบกพร่อง แต่ด้วยสติด้วยปัญญาของเขา เขาบกพร่องโดยความรู้ของเขา เขาบกพร่องทุกๆ อย่างเลย แต่เขาอวดฉลาด
แล้วถึงเวลาแล้วนะ กรรมมันให้ผล กรรมให้ผล หมายความว่า เขาทำงานสิ่งใดก็เสียหาย เขาทำอะไรก็ไม่เคยประสบความสำเร็จ เขาทำอะไรก็มีความขาดตกบกพร่อง แล้วถึงที่สุดถ้าเขาทำผิดกฎหมาย เขาติดคุก ฉลาดใช่ไหม ฉลาดอยู่ในคุกไง
แต่เราไม่ต้องไปฉลาดกับใครทั้งสิ้น ให้เราฉลาดเท่าทันกิเลส ฉลาดเท่าทันความเห็นแก่ตัว ฉลาดตรงนี้สำคัญที่สุด
นี่บอกว่า การยอมรับเป็นการฝึกหัดกิเลสอีโก้ของเราใช่ไหม
ถ้าไม่ให้เราน้อยใจ สิ่งต่างๆ เรารักษาของเรา นี่คือธรรมโอสถ สิ่งที่ว่ามีคุณธรรมในหัวใจแล้วมันอยู่ด้วยความสุขไง มันอยู่ด้วยเหตุด้วยผล มันไม่ว้าเหว่ มันไม่แบบว่ายืนอยู่คนเดียว
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นตรัสรู้ในป่าทั้งสิ้น อยู่องค์เดียวกับป่าเขาลำเนาไพรมีความสุขมาก โอ้โฮ!
ไม่ใช่อยู่ในสังคม โอ้โฮ! ต้องจ้างเขาให้รักนะ การเมือง ทำงานการเมืองคือแจกตังค์ แจกรอบที่หนึ่งให้ห้าบาท ถ้าลงคะแนนแล้วเอามาอีกห้าบาทสิบบาท แจกครึ่งหนึ่งก่อนแล้วมาเอาอีกครึ่งหนึ่ง รองเท้าแจกข้างเดียวอย่างนี้ โอ้โฮ! นี่เรื่องของโลกๆ ไง เราไม่ต้องไปยุ่งกับเขา เราอยู่ของเรา นี่ข้อ ๒. เนาะ
“๓. หนูชอบนั่งสมาธิมากกว่าเดินจงกรม สมาธิ สติตอนเดินจงกรม ให้มีสติทันอารมณ์ตอนลืมตาให้ดีกว่านั่งหรือเปล่าคะ”
ตอนเดินจงกรม เดินจงกรมเราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้าเราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ขณะเดินจงกรมมันได้ฝึกหัดปัญญา ฝึกหัดปัญญาเหมือนการฝึกหัดอารมณ์
การฝึกหัดอารมณ์นะ อารมณ์ที่เราโดนกระทบ อารมณ์อะไรที่มันค้างอยู่ในใจ เวลาเดินจงกรมเรามาพิจารณา พอพิจารณาไปแล้วถ้าปัญญามันเท่าทันมันก็ เฮ้อ! ว่างเปล่า ถ้าสติปัญญามันทันก็ว่างเปล่า ถ้าว่างเปล่านี่สติมันทัน
แล้วฝึกหัดบ่อยๆ เข้า ฝึกหัดบ่อยๆ เข้า สติปัญญาเราจะเท่าทัน เวลาอะไรกระทบนะ เสียงนกเสียงกา ถ้าเราสติปัญญาไม่เท่าทันนะ เวลาใครพูดอะไรนะ เสียงสักแต่ว่าเสียง อย่าไปบวกด้วยอารมณ์ของเรา
เวลาใครพูดอะไร เสียงสักแต่ว่าเสียง มันเป็นเสียงเฉยๆ แต่เสียงนั้นมันมีพูดเรื่องอะไร เราก็ไปเอาเนื้อหาสาระนี้มาคิด แต่ถ้าเรายังไม่เท่าทันนะ เสียงสักแต่ว่าเสียง เสียงแต่เราไม่รับรู้ แต่ถ้าเรามีสติปัญญา ถ้าเราจับได้ มันไม่จริง นี่ถ้าจับได้
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนโง่มากหรือคนฉลาดมาก
คนโง่มากนะ คนฉลาดบางทีเขาไม่พูดเอง เขาไหว้วานคนอื่นมาพูด เราเจอบ่อยตอนที่เราบวชนะ เราเป็นพระ เวลาพระมันไม่ชอบขี้หน้าเรา มันไปเอาเณรมาหาเรื่อง เราก็เฉยๆ
มันเอาเณรมานะ เอามาแกล้งอย่างนู้นมาแกล้งอย่างนี้ โดยสิทธิ์เณรศีลน้อยกว่าพระ ถ้าเณรศีลน้อยกว่าพระ เณรจะมายุ่งอะไรกับพระได้ แต่เณรนั้นมันก็รับงานเขามาไง เวลาฉันข้าวเสร็จจะล้างบาตร มันเอาเท้าวางไว้บนยางที่ล้างบาตร ไม่ให้ล้าง เราก็ไปล้างที่อื่น
ถ้าธรรมดานะ ก็ต่อยหน้ามันก็จบไง ถ้าธรรมดา ผลักมันก็จบแล้ว แต่ไม่ทำ เพราะอะไร เพราะเรารู้ว่าคนอื่นเขาใช้มา คนอื่นเพราะเขาเห็นเราภาวนาเห็นเราปฏิบัติแล้วเขาก็ทดสอบ เอานู่นมา เอามานี่ เราไม่ยุ่ง เฉย เราหลบหลีกของเรา เวลาเราจะปฏิบัตินะ
อย่านึกว่าบวชพระแล้วมีแต่คนยกย่องสรรเสริญนะ บวชพระมันก็มีกลวรยุทธ์เหมือนกัน
นี่เหมือนกัน ถ้าเราฝึกหัดสติปัญญาของเรา เดินจงกรมก็คิดเรื่องนี้ ถ้าคิดเรื่องนี้มันมีเหตุมีผลไง พอคิดเรื่องนี้ อ้าว! เราไปคิดทำไม เขาผิดจริงหรือเปล่า ข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างไร
เวลาพิจารณาไปแล้วนะ ถ้าข้อเท็จจริงถ้ามันผิด ผิดเราจะแก้ไข ถ้ามันไม่ผิด ไม่ผิดมันก็สัญญาอารมณ์ของเขา ด้วยเล่ห์ด้วยผลของเขา ถ้าพิจารณาของเราถ้ามันลงได้ นี่การเดินจงกรมโดยใช้ปัญญาอบรมสมาธิ แล้วฝึกหัดอย่างนี้ ฝึกหัดอย่างนี้จนมันชำนาญนะ
เวลาเราอยู่ในที่ทำงาน บอกว่า ที่เราไม่ได้รับความยุติธรรมๆ
ถ้าจิตใจเราเข้มแข็ง สติปัญญาเราเข้มแข็งนะ โอ้โฮ! ถ้าเรายืนอยู่ได้ เขาพูดอย่างไรเราก็นิ่ง เขาแทบจะกราบเราเลยนะ เพราะเขาไปวางแผนมา โอ้โฮ! เป็นลูกล่อลูกชน ไอ้คนนี้พูดอย่างนี้ คนนี้พูดอย่างนี้ เป็นทีมมาเลย พอพูดจบแล้วเราไม่สะทกสะท้านเลย เขาลงทุนลงแรงแล้วสูญเปล่า พอสูญเปล่าบ่อยครั้งเข้าๆ เขาจะยอมรับเรา
ขออย่างเดียวเท่านั้นน่ะ ขอให้เราเสมอต้นเสมอปลาย
ส่วนใหญ่แล้วคนเราไม่เสมอต้นเสมอปลาย ดี ๕ นาที ร้ายเป็นทั้งวันเลย อีก ๒๓ ชั่วโมง ๕๐ นาที โอ้โฮ! ร้ายกาจเลย แต่ ๑๐ นาทีเป็นคนดี๊ดี มันไม่เสมอต้นเสมอปลาย
ถ้าเราทำเสมอต้นเสมอปลาย ในที่ทำงาน ในสังคม คนอยู่ใกล้ชิดกันเขารู้ ศีลจะรู้ได้ต่อเมื่ออยู่ด้วยกัน พระที่อยู่ด้วยกัน ๑๐ ปี ๒๐ ปีเขาจะรู้ว่าศีลของใครดี ศีลของใครด่างพร้อย แล้วถ้าธรรมะ ตอนคุยธรรมะ ธรรมจะรู้ได้ต่อเมื่อสนทนาธรรม ธรรมจะรู้ได้ต่อเมื่อแสดงออกมา รู้หมดน่ะ
นี่ก็เหมือนกัน ฉะนั้น ถ้าเราฝึกหัดใช้ปัญญาของเรา ฝึกหัดใช้ปัญญาของเรา
ฉะนั้นบอกว่า เราฟังคำถามทั้งหมดแล้วเขาก็อยากจะแบบว่า ถ้าเขาปฏิบัติธรรมแล้วเขาควรจะมีสติปัญญาเท่าทันสังคม เท่าทันอารมณ์ของตน เวลาลืมตาอยู่นี่ อยู่กับสังคมควรมีสติมีปัญญา
อันนั้นเป็นขั้นผู้ที่ภาวนาแล้วมีหลักเกณฑ์ อย่างเช่นเวลาหลวงตาท่านพูด เวลาท่านพูดของท่านนะ ท่านบอกว่าที่ท่านผ่านอสุภะน่ะ “ให้ผู้หญิงสวยๆ นั่งอยู่เต็มศาลาเลย เราจะเดินผ่านไปได้สบาย”
ได้ยินไหม หลวงตาท่านพูดบ่อย “ให้ผู้หญิงสวยๆ นั่งอยู่เต็มศาลาเลย เราจะเดินผ่านไปโดยที่จิตเราเป็นปกติเลย” หลวงตาท่านพูดบ่อย
นั่นผู้ที่ฝึกดีแล้ว ผู้ที่ฝึกดีแล้วเป็นอย่างนั้นแล้วนะ ผู้หญิงกับผู้ชายมันฝั่งตรงข้าม ผู้ชายน่ะ ผู้หญิงสวยๆ ทั้งหมด พอมันเห็นแล้วมันก็ต้องมีความรับรู้ มีสัญญาอารมณ์ มีความพอใจไม่พอใจ เรื่องแน่นอน
ท่านบอกว่าท่านพิจารณาอสุภะแล้วท่านจะเดินผ่านไป เหยียบย่ำพวกนี้ไปโดยที่ไม่มีอารมณ์ใดๆ เลย นี่คือที่ฝึกดีแล้ว
นี่พูดถึงคำถามไง คำถามว่า เขาอยากมีสติ มีสมาธิตอนที่ลืมตาในสังคม
เราก็ฝึกหัดอย่างนี้ ฝึกหัดของเราไป ฝึกหัดแบบที่โยมบอกว่าโยมภาวนาอย่างนี้ นี่คือนักกีฬาเวลาฝึกซ้อมเขาก็ซ้อมที่สนามซ้อมของเขา เวลาเขาลงแข่ง เขาลงแข่งสนามจริง
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน จิตใจของเรายังไม่เข้มแข็งพอ เราก็สนามซ้อมของเราคือที่ภาวนาของเราฝึกหัดสติปัญญาของเรา ถ้ามันเข้มแข็งแล้วเราจะลงสนามจริง เข้าไปอยู่ในที่ทำงานของเรา เราก็จะพร้อมของเรา
เราเข้าใจคำถามว่าคำถามนี้ถามแบบนี้ ถามแบบนี้เราถึงพยายามอธิบายว่า ถ้าเราปฏิบัติแล้วเราปฏิบัติเพื่อความสงบระงับของเรา เราปฏิบัติเพื่อความสุขของเรา เราอย่าไปคิดว่าเราปฏิบัติแล้วเราจะได้อย่างนั้นๆ
คำว่า “ได้อย่างนั้น” เหมือนกับคนซื้อลอตเตอรี่ “รางวัลที่หนึ่งๆ” แล้วไม่เคยถูกเลย ไม่เคยถูกรางวัลที่หนึ่งเลย แต่ก็จะเอารางวัลที่หนึ่งๆ มันกดดันตัวเอง
จะซื้อจะเสี่ยงโชคก็ธรรมดา ถูกก็ได้ ไม่ถูกก็ได้ ถ้าซื้อไปโดยไม่เสี่ยงโชค ถ้ามันถูกรางวัลที่หนึ่งก็ โอ้โฮ! สุดยอด ไม่ถูกก็คือไม่ถูก
นี่ก็เหมือนกัน เราปฏิบัติบูชาเหมือนกับซื้อหวย แต่ปฏิบัติบูชาไม่ได้ซื้อหวยนะ เราปฏิบัติของเราเพื่อหัวใจเราเข้มแข็ง หัวใจเราเจริญงอกงามขึ้นไป แล้วถ้ามันถึงที่สุดถ้ามันเป็นธรรมได้จริง
อย่างที่โยมถามนี่แหละ อยากมีสมาธิ อยากมีสติทันอารมณ์ตอนลืมตา
ถ้าเราฝึกหัดจนเราเข้มแข็งแล้ว ลืมตาหลับตาตรงไหน พร้อม สติปัญญาพร้อม ถ้าฝึกหัดแล้วมันได้อย่างนั้นจริงๆ แต่มันอยู่ที่การฝึกหัดของเรา อยู่ที่คุณสมบัติของจิตที่มันพัฒนาขึ้นไป แล้วมันจะเป็นแบบที่โยมตั้งใจและปรารถนาที่อยากจะได้ถ้าปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เอวัง